หมู่บ้านโปรตุเกส
ตั้งอยู่ที่ตำบลสำเภาล่ม บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตก
อยู่ทางใต้ของตัวเมือง
ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี
พ.ศ. 2054 โดยอัลฟองโซ เดอ อัลบูเคอร์ก ผู้สำเร็จราชการของโปรตุเกส
ประจำเอเซีย ได้ส่งนายดูอาร์เต้ เฟอร์นันเดส
เป็นทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
แห่งกรุงศรีอยุธยา
ชาวโปรตุเกสเข้ามาตั้งหลักแหล่งค้าขายและเป็นทหารอาสาในกองทัพกรุงศรีอยุธยา
สร้างโบสถ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ศาสนาและเป็นศูนย์กลางของชุมชน
ปัจจุบันบริเวณนี้ยังมีร่องรอยซากสิ่งก่อสร้างปรากฏให้เห็นคือ
โบราณสถานซานเปโตรหรือเรียกในสมัยอยุธยาว่าโบสถ์เซนต์โดมินิค
เป็นโบสถ์ในคณะโดมินิกัน
นับเป็นโบสถ์แห่งแรกที่สร้างขึ้นในแผ่นดินไทยเมื่อปี พ.ศ. 2083
ตั้งอยู่ในบริเวณเกือบกึ่งกลางหมู่บ้านโปรตุเกส
มีเนื้อที่ประมาณ 2,400 ตารางเมตร
ยาวตามแนวทิศตะวันออกไปตะวันตกหันหน้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ตัวอาคารแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ส่วนหน้าเป็นสุสาน
ของชาวคาทอลิคคณะโดมินิกัน ส่วนกลางใช้ประกอบพิธีทางศาสนาและฝังศพบาทหลวง
ส่วนในด้านหลังเและด้านข้างเป็นที่พักอาศัยและมีการขุดค้นพบโบราณวัตถุที่สำคัญได้แก่
โครงกระดูกมนุษย์ กล้องยาสูบ เหรียญกษาปณ์ เครื่องปั้นดินเผา
เครื่องประดับกำไลแก้วและเครื่องประกอบพิธีทางศาสนาเช่น ไม้กางเขน
เหรียญรูปเคารพในศาสนา ลูกประคำ ในส่วนของสุสาน พบโครงกระดูกจำนวนมากมายถึง
254 โครง
ฝังเรียงรายอย่างเป็นระเบียบและทับซ้อนกันหนาแน่นทั้งภายในและภายนอกอาคาร
จากแนวโครงกระดูกที่พบแบ่งขอบเขตสุสานออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนในสุดกลางตัวอาคารที่เป็นฐานโบสถ์
อาจเป็นโครงกระดูกของบาทหลวงหรือนักบวช ถัดมาส่วนที่สอง
ส่วนนี้อาจเป็นผู้มีฐานะทางสังคมในค่ายโปรตุเกสสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ส่วนที่สามนอกแนวฐานโบสถ์มีการฝังซ้อนกันมากถึง 3-4 โครง
โครงกระดูกเหล่านี้มีทั้งที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และบางส่วนชำรุด
จากหลักฐานเอกสารประวัติศาสตร์
กล่าวถึงการเกิดโรคระบาดร้ายแรงในปลายแผ่นดินพระเพทราชาเมื่อปี พ.ศ. 2239
มีผู้คนล้มตายมาก และในปี พ.ศ. 2255
ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระก็เกิดโรคระบาดอีกครั้งมีผู้คนล้มตายมาก
อาจเป็นเหตุให้มีการขยายสุสานออกมาจากเดิม
ตลาดลาดชะโด
ตลาดที่แฝงตัวอยู่ในบ้านเรือนและเป็นตัวขับเคลื่อนชุมชนมาตั้งแต่สมัยอยุธยายุคกรุงแตกครั้งที่
2 ตรงกับ พ.ศ. 2310 เดิมชื่อ บ้านจักราช
เป็นเรือนแพพาณิชย์ของชาวจีนที่ค่อย ๆ ขยายจากตลาดน้ำขึ้นไปบนฝั่ง
จนมีสภาพเป็นตลาดเรือนแถวไม้สองฝั่งที่มีทางเดินกว้างระหว่างกลาง
ใช้หลังคาและท่าขนส่งสินค้าร่วมกันโดยชาวบ้านออกเงินกองกลางเป็นค่าใช้จ่ายรวมรอบข้างคือวัด
โรงเรียน โรงสี
โรงหนังและศาลเจ้าแต่ด้วยสภาพพื้นที่เป็นที่ลาดริมน้ำซึ่งมีปลาชุกชุม
โดยเฉพาะปลาชะโด จึงได้ชื่อใหม่ว่า ลาดชะโด นั่นเอง
สภาพของตลาดกลางชุมชนนั้นราวกับหยุดเวลาไว้ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นร้านถ่ายรูป
ร้านตัดผม ร้านตัดเสื้อ ร้านชำ
ร้านยาไทยหมอจรัลที่มียารักษาไข้ทับระดูได้ชะงัดนัก
ที่พักอาศัยของธีรศักดิ์ อัจจิมานนท์ เจ้าของเพลงกุหลาบแดงและลมลวง
ศิลปินเพลงดังเมื่อหลายสิบปีก่อน พิพิธภัณฑ์บ้านเก่าของนายกเทศมนตรี
จัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายข้าวของเครื่องใช้ในอดีต
โรงเรียนลาดชะโดที่มีอาคารเรียนไม้ที่สุดในประเทศไทย
วัดลาดชะโดที่ล้อมรอบด้วยลำคลองจนเหมือนอยู่บนเกาะมีศาลาวัดสร้างด้วยท่อนซุงยักษ์
และศาลเจ้าลาดชะโดที่สร้างตามความเชื่อเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ซ้ำ
ๆ หลายครั้งดังในอดีต ไปที่ไหนเป็นต้องหาของอร่อย ตลาดลาดชะโดมีอาหารคาวหวานจานเด็ดที่หากินที่ไหนไม่ได้ง่าย
ๆ ซึ่งใช้วัตถุดิบในชุมชน จึงรับรองความสด
ปรุงรสเด็ดถึงเครื่องและปริมาณจุใจ เช่น แกงบอน ห่อหมกปลาช่อนใบยอ
ต้มเค็มปลาตะเพียนใส่อ้อย สับปะรดและส้มมะขามสูตรโบราณ
ปลาเห็ดทำจากปลาสร้อย ขนมต้มสมุนไพร ถั่วแปบใบเตย ฯลฯ
ให้ได้ช็อปชิมและซื้อเป็นของฝากจนหนำใจ
ชาวบ้านร่วมกันอนุรักษ์เสน่ห์วิถีชีวิตเก่า ๆ ไว้ได้อย่างดียิ่ง
จนกลายเป็นโลเกชั่นของผลงานดัง ๆ เช่น บุญชู ดงดอกเหมย รักข้ามคลอง สตางค์
และความสุขของกะทิ เป็นต้น
และยังได้รับพระราชทานรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำ พ.ศ. 2549
ประเภทชุมชนพื้นถิ่น จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีซึ่งถือเป็นเกียรติคุณสูงสุดของตลาดร้อยปีแห่งนี้
นักท่องเที่ยวจะเดินเท้าชมตลาดหรือล่องเรือไปตามคลองลาดชะโด ชมการยกยอ
ทอดแห บ้านเรือนไทยริมน้ำ ค่าบริการคนละ 10 บาทหรือเหมาลำ 50 บาท
เปิดตลาดวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-15.00 น. สอบถามข้อมูลที่
เทศบาลตำบลลาดชะโด โทร. 0 3574 0263-4
ที่อยู่ : 99 หมู่ 1 บ้านลาดชะโด พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/R5K7G
ปางช้างอยุธยา แล เพนียด
วังช้างอยุธยา
แล เพนียด หรือชื่อเดิมว่าปางช้างอยุธยา แล เพนียด
เข้ามาเกื้อกูลการท่องเที่ยวของเมืองเก่า
ในวาระที่องค์กรยูเนสโกแห่งสหประชาชาติประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาเป็นมรดกโลก
ซึ่งจัดงานเปิดตัวยิ่งใหญ่ เพราะนำขบวนช้างใหญ่ถึง 109 เชือก
มาทำพิธีคล้องช้างตามตำราหลวงเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 เวลาผ่านไป 20 ปี
วังช้างแห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางช้างรอบด้าน
ทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งภายในมี ลานพักช้างใหญ่
เป็นโซนพักผ่อนของควาญและช้าง
ใครผ่านไปใครผ่านมาก็ป้อนกล้วยอ้อยให้ช้างยื่นงวงมางับได้จากมือและเซลฟีกับช้างได้จากนอกลานที่มีเชือกกั้นไว้
อีกส่วนที่น่าไปชมคือ ที่ถือเป็นไฮไลต์เด็ด มีกิจกรรมถ่ายรูปคู่กับช้าง
วันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
จะมีโชว์กิจกรรมประกอบจังหวะของช้างน้อยที่มีเสียงพากย์ประกอบเรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดู
และกิจกรรมยอดฮิต
ลอดท้องช้างเพื่อสิริมงคลที่แฝงความตื่นเต้นจากวันแรกที่มีช้างประจำการ 8
เชือก ปัจจุบันมีลูกหลานเพิ่มขึ้นมากว่า 100 เชือก
และมีช้างที่ตกลูกรวมทั้งสิ้น 72 เชือก จึงผุดโครงการต่าง ๆ
ที่สร้างคุณูปการอย่างยิ่งต่อประเทศไทย อาทิ ศูนย์การผสมพันธ์ช้าง
(สืบสานสายพันธุ์) ช้างไทย โครงการอนุบาลช้างน้อย โครงการบ้านพักช้างชรา
โครงการฝึกช้างแบบตำราหลวงไม่ผิดไปจากความปรารถนาในการตั้งชื่อปางว่า
วังช้างอยุธยา แล เพนียด เพราะคำว่า แล แปลว่า แลมอง แลเห็น แลดู
ส่วนคำว่าเพนียดหมายถึงที่สถานจับช้างในสมัยโบราณ
จึงรวมความได้ว่าเป็นสถานที่พักพิงและดูแลช้าง
วันธรรมดามีบริการขี่ช้างทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ราคา 100-500 บาท ตามระยะเวลา 15 หรือ 30 นาที
ถ่ายรูปกับช้าง 40 บาท
และมีที่พักให้ค้างคืนเพื่อสัมผัสการเลี้ยงช้างอย่างใกล้ชิด โทร. 08 6901
3981, 08 1821 7065
ที่อยู่ : พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/AiYR3
ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
(Bang Sai Arts and Crafts Centre)
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตอำเภอบางไทร
สร้างขึ้นจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ซึ่งมีพระราชประสงค์จะส่งเสริมและสร้างอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืนแก่ราษฎร
โดยทรงสนพระทัยในงานหัตถกรรมพื้นบ้านจากวัสดุในท้องถิ่น
ซึ่งทำให้ผลงานมีความแตกต่างกันออกไปอย่างมีเอกลักษณ์ด้วย
จึงทรงจัดครูไปฝึกสอน และพัฒนาคุณภาพของผลงานให้ดีขึ้น
ซึ่งในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
(Bang Sai Royal Folk art) ที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่ยอมรับไปทั่ว
ทั้งในระดับประเทศและระดับสากลดังเช่นทุกวันนี้
สถานที่ที่น่าสนใจภายในศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ศาลามิ่งขวัญ
อาคารทรงไทยประยุกต์จตุรมุขสูง 4 ชั้น
เป็นศูนย์สาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของศูนย์ศิลปาชีพบางไทร (Thailand Art
and Crafts) และศูนย์ศิลปาชีพจากทั่วประเทศ
พร้อมจัดนิทรรศการผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพชิ้นเด่น ๆ
มากมายให้ได้ทึ่งกับคุณภาพงานฝีมือของคนไทย หมู่บ้านศิลปาชีพ
จำลองวิถีชีวิต การสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
และศิลปวัฒนธรรมไทยทั่วประเทศให้ได้ชมกัน
ซึ่งจะมีการแสดงนาฏศิลป์และการละเล่นพื้นบ้านที่อาจจะหาชมได้ยาก
แต่รวบรวมมาไว้ให้ได้ชมกันที่นี่ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
วันละหนึ่งรอบเท่านั้น ระหว่างเวลา 16.30-17.30 น. อาคารฝึกอบรมศิลปาชีพ
แบ่งแยกออกเป็น 30 แผนก อย่างเช่น แผนกทอผ้าไหม แผนกทอผ้าตีนจก
แผนกช่างไม้เครื่องเรือน แผนกวาดภาพสีน้ำมัน แผนกช่างเขียนภาพลายไทย
แผนกเป่าแก้ว แผนกตัดเย็บเสื้อผ้า แผนกช่างศิลปประดิษฐ์ แผนกประดิษหัวโขน
แผนกสานผักตบชวา แผนกเครื่องหนัง แผนกเซรามิก เป็นต้น
ใครอยากจะเรียนรู้งานฝีมือประเภทใด
รับรองว่าที่นี่จัดเตรียมไว้ให้ชมทุกแบบและทุกขั้นตอน
ซึ่งจะได้เห็นความอุตสาหะของช่างฝีมือที่ทำงานอย่างอดทนและประณีตอย่างน่าทึ่ง
สวนนก มีกรงนกขนาดใหญ่ 2 กรง ภายในกรงจัดสภาพแวดล้อมคล้ายป่า มีต้นไม้
ลำธาร สำหรับนกนั้นมีนกหายากกว่า 100 ชนิด เช่น นกชาปีไหน นกกาฮัง นกเงือก
นกสาลิกาเขียว นกยูงไทย เป็นต้น วังปลา มีตู้แสดงพันธุ์ปลา 2 ตู้
จัดแสดงปลาน้ำจืดหลากหลายชนิด ทั้งปลาที่ใกล้สูญพันธุ์
และปลาที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น ปลาตะเพียนทอง ปลาเสือพ่นน้ำ กระเบนราหู
ปลาบึก เป็นต้น ภายในอาคารยังมีภาพเขียนปลาไทยพร้อมคำบรรยาย
เปิดให้เข้าชมวันอังคาร-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. วันเสาร์ อาทิตย์
วันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.30-17.00 น.
นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถไฟเล็ก ได้โดยไม่เสียค่าบริการ
สอบถามรายละเอียดที่ประชาสัมพันธ์ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร โทร. 0 3536 6252-4, 0
3528 3246-9
ที่อยู่ : บางไทร, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/A1dIW
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์
ปอดแห่งเมืองอยุธยา สวนสาธารณะบนเนื้อที่กว้างขวางถึง
152 ไร่ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
80 พรรษาลำดับที่ 2 ในบริเวณพื้นที่ของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเป็นประธานเปิดสวนเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม
พ.ศ. 2528 แนวคิดของการสร้างสวนสาธารณะเทิดพระเกียรติแห่งนี้
ต้องการให้มีสภาพแวดล้อมกลมกลืนไปกับความเป็นเมืองเก่าของอยุธยา
จึงมีการดัดแปลงพื้นที่ให้น้อยที่สุด โดยคำนึงถึงโครงข่ายถนนและคลองโบราณ
เพื่อไม่ให้กระทบกับการขุดค้นของนักโบราณคดีต่อไปในภายภาคหน้า
และยังคำนึงถึงความต้องการของคนในชุมชนที่ปรารถนาพื้นที่สีเขียวอันร่มรื่น
เป็นแหล่งผลิตอากาศบริสุทธิ์ มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการมาเดินเล่น
พักผ่อนหย่อนใจและกิจกรรมสันทนาการอื่น ๆ จึงมีลักษณะเป็นสวนเปิดโล่ง
และมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาร่มรื่นกระจายอยู่ทั่วสวน โดยมีศาลาเป็นจุดพัก
เช่น
ศาลาทรงไทยที่จัดสร้างเมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เสด็จเป็นประธานเปิดสวน
และศาลาอื่น ๆ ที่นี่ยังไม่พลาดแต่งเติมบรรยากาศกรุงเก่า
ด้วยมีโบราณสถานหลายแห่ง เช่น เจดีย์และถนนโบราณ
ให้ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม
พร้อมพัฒนาสวนป่าสมุนไพร
รวมทั้งสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์
อัครราชกุมารีเสด็จแทนพระองค์มาเปิดพระราชานุสาวรีย์เมื่อ พ.ศ. 2543
ให้ประชาชนชาวอยุธยาได้สักการะด้วย สวนเปิดทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น.
ที่อยู่ : ถนนอู่ทอง พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/2TbPG
แสดงความคิดเห็น